สำหรับคนที่เดินทางท่องเที่ยวอังกฤษ หรือในยุโรป และอาจจะต้องการแวะประเทศเล็ก ๆ สักคืนสองคืนเอาแบบถ่ายรูปเก๋ดตึกเก่า ๆ แนว ๆ ไม่เหมือนใคร ลองดูมอลต้า Malta ในช่วงซัมเมอร์ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าตื่นเต้นดีครับ
ในกรณีนี้พอดีทางทีมงานเดินเข้าประเทศมอลต้า จากอังกฤษ ดังนั้นจำเป็นต้องขอวีซ่าแชงเก้นเข้าไป เมื่อได้วีซ่าอังกฤษแล้ว ก็ทำเรื่องขอ แต่ด้วยมอลต้าไม่มีสถานทูต ผู้เดินทางสามารถเข้าทำการขอได้จาก VFS ของออสเตรีย กรุงเทพ สำนักงานอยู่ที่ตึกจามจุรี สามารถเตรียมเอกสารได้ตามกฎระเบียบทั่วไปของการเดินทางครับ ขั้นตอนนี้จะขอข้ามไป เนื่องจากสามารถดูรายละเอียดจากลิงค์ของ VFS Austria
การเดินทางจากอังกฤษ
สนามบินที่เดินทางไปมอลต้า สามารถเลือกได้หลายสนามบิน แล้วแต่เวลาที่สะดวก ด้วยเวลาจำกัดเราจึงบินไปตอนเช้า และสนามบินที่ใกล้และสะดวกคือ Southend สามารถนั่งรถไฟไปถึงสนามบินได้เลย และค่อนข้างสะดวกใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิด ๆ ก็ถึงสนามบินเล็กนี้ ไม่วุ่นวาย คนไม่เยอะ และสนามบินขนาดกะทัดรัด ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องเดินทางภายในเทอร์มินอลยาว ๆ ถ้ามองการเดินทางถือว่าผ่านเลยครับ สามารถจองการเดินทางโดยรถไฟจากสถานี London Liverpool Street เวลาก็ตรวจสอบได้จากตาราง https://www.thetrainline.com/train-times
สนามบิน Londo Southend Airport
สนามบินมอลต้า
ทีมงานเดินทางช่วงซัมเมอร์ของยุโรป ซึ่งก็จะร้อนหน่อยครับ วินาทีแรกที่เห็นสนามบินและบรรยากาศรอบ ๆ รู้สึกถึงหนังสงครามหน่อย ๆ ครับ เพราะว่าสภาพอากาศที่แห้ง ๆ บวกกับบรรยากาศบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ตม ถามคำถามเพียงสั้น ๆ ก็ผ่านไปเจอคนขับรถรอที่นัดไว้จากที่โรงแรม แนะนำให้จองรถจากโรงแรมไปรอรับสะดวกกว่าครับ เพราะว่ารถประจำทาง ๆ ต่าง ๆ อาจจะไม่สะดวก เนื่องจากเป็นประเทศเล็ก ๆ รอบล้อมด้วยทะเล ดั้งนั้นค่ารถไม่แพงเมื่อเทียบระยะทาง ด้วยความที่ทิ้งกระเป๋าใหญ่ที่ลอนดอนทีมงานจึงเดินทางด้วยแค่ Carry on ใบเดียวจึงไม่ต้องไปรอรับกระเป๋าให้วุ่นวายเท่าไหร่ครับ
Hotel Selections
สำหรับการพัก เราเลือกที่พักสองเมืองหลัก ๆ ในการสำรวจเกาะเล็ก ๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลังจากทำการบ้านเลือกเมือง อยากเห็นบรรยากาศที่แตกต่างเลยเลือกพักคืนละที่ ที่แรก ทีมงานเลือก Silema และแน่นอน ก็ต้องที่ Valletta ซึ่งก็สามารถข้ามฝากด้วยเรือเฟอร์รี่มาครับ
SILEMA
มาดูกันที่ Silema โรงแรมที่เลือกหลังจากที่หามาหลายที่ เลือกที่ใกล้ร้านค้า และเดินไม่ไกลมา บรรยากาศความรู้สึกในใจเมื่อถึงเกาะนี้ คืออันดับแรกอยากอาบน้ำก่อนเลยครับ และหากินมาม่าต้มที่พกมาก่อนรองท้อง มันร้อนแห้ง ๆ เลยอยากอาบน้ำเปิดแอร์ก่อน อ่อ พอดีทีมงานเดินทางง่าย ๆ เลยกระเป๋าไม่เยอะ ถ้าต้องลากกระเป๋าเดินทางใหญ่ ๆ สำหรับเมืองนี้ โชคดีเพราะว่าโรงแรมของเมืองนี้ที่พักไม่มีลิฟท์ อาจจะด้วยเป็นโครงสร้างเพียงไม่กี่ชั้น แต่ถ้าเจอกระเป๋าใหญ่ ๆ จะเหนื่อยหน่อยครับ แถมการลากกระเป๋าใหญ่ในเมืองนี้ก็คงต้องใช้ล้อทน ๆ ยี่ห้อดี ๆ เพราะว่าทาง ลาดชันตลอดเกาะ ส่วนโรงแรมที่พักก็เลือกตามอัธยาศัยกันนะครับ แต่ทีมงานเลือก
Two Pillows Boutique Hostel https://www.twopillowsmalta.com/ ด้วยลักษณะที่โดดเด่น ยังเห็นความเป็นมัลทิสมาก ๆ และสะดุดตาด้วยการตกแต่งภายในและภายนอกด้วยสีแดงตัด ถ้าไปแบบเป็นกลุ่ม ๆ ที่นี้มีแบบที่พักห้องเตียงหลายคนนอนได้อยู่ครับ ลองไปเปิดหาดูที่เว๊ป ส่วนทีมงานเลือกห้องเดี่ยวและห้องน้ำในตัว มีตู้เย็นเล็ก ๆ กินน้ำเย็น ๆ สักหน่อย ถือว่าสมราคาและห้องสะอาดสะอ้านครับ
ภายในที่พักก็เป็นบันไดขึ้นห้อง กระเป๋าแบบลากมาใหญ่ๆอาจจะหอบกินได้ Carry on ใบเดียวก็คล่องตัวดีกว่า จะเว้นใครอยู่ในโรงแรมขนาดใหญ่ แต่ทีมงานเลือกแบบที่พักแนว ๆ ให้ความรู้สึกถึงมาก
ถนนลาดชัน การเดินชมเมือง แบบสัมภาระน้อย ๆ จะคล่องตัวกว่าครับ
ใครมีกล้องสวย ๆ มีเพื่อนถือกล้องจะได้อีกฟิวมากครับ
หน้าที่พัก
คาเฟ่ที่ไม่ควรพลาด CAFFE BERRY
สำหรับที่ Silema นี้สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดและอยากให้ทุกคนถ้าไปต้องไปชิม โกโก้ร้อนที่นี้ ต้องร้องว้าว หรือไม่ก็อุทาน OMGGGG เลียปากไม่หยุดกับความเข้มจ้นของโกโก้ หวาน หอมกำลังดี มันจะเข้มจ้นเวลาซดนี้ จากอารมณ์เสีย ๆ มา หายขาดทันที ร้านนี้มีชื่อว่า CAFFÈ BERRY ร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ความอร่อยไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยทีเดียวพร้อมด้วยของหวานสำหรับ ขนมเค้ก พายต่าง ๆ ไม่มาต้องบอกพลาดดดอย่างแรง จากที่พักเดินวนวงมาแค่ไม่กี่เมตรก็เจอร้านนี้ ยืนซดโกโก้ร้อน ๆ หายเหนื่อยเลย พนักงานก็น่ารักเป็นมิตร ยิ้มแย้มทักทาย กล้าพูดว่าไม่เคยซดโกโก้ที่ไหนในชีวิตแล้วฟินไปในวิญญาณได้ขนาดนี้ เช้าออกจากที่พัก นั่งดูคนเดินไปมา กับโกโก้ถ้วยเต็มนี้ แหม่ไฮท์ไลท์สุดสำหรับเมืองนี้ เดินชมวิว ไม่เท่านั่งเฉย ๆ แล้วดูผู้คนเดินมา เดินเข้าออกมาสั่งกาแฟ ฟังเค้าพูดภาษาที่เราฟังไม่รู้เรื่อง 555 สุดยอดดดดจริง ๆๆ
ตอนไปกำลังปรับปรุงหน้าตึก แต่วางโกโก้ได้สักพักหน้าร้านก็เขยิบแก้วไปข้างใน ไปฟังสำเนียงชาวมัลทิสสักหน่อย
นี่เลยแก้วนี้ โกโก้เข้มจ้น ถอนวิญญาณ แค่นี้ก็อิ่มจุกเดินได้ยันเที่ยงเลยครับ
VALLETTA
หลังจากที่พัก Silema มาหนึ่งคือ ก็นั่งเรือข้ามฝั่งเข้า Valletta นั่งเรือมองดูฟ้า ทะเล พอเรือเข้าเทียบท่า ระหว่างที่จะเข้าเมืองทุกคนต้องเงยหน้าแบบอัตโนมัติ เหมือนจะเข้าอุโมงค์เมืองเก่า แบบเงยหัวแล้วหันไปรอบๆ อยู่ที่ไหนเนี่ย ประมาณนั้นเลย ตัวตึกเก่าเหมือนเข้าสู่ยุคเก่า ๆ สมมุตตัวเองเป็นทหารโรมันไงบอกไม่ถูก ถ้าเปลี่ยนใส่ชุดนักรบในหนังสมัยก่อนเช่น Thor หรือ Braveheart ก็แบบเหมือนมากกก ครับ ถ้าคนไหนกล้า ๆ จัดคอสตูมนี้เลย ถ้ามีเพื่อนไปเยอะ ร่วมเดินทางคงสนุกมาก ๆ แน่ครับ
สำหรับเมือง Valletta ก็เที่ยวเดินวันเดียวก็ครบหมดครับ เดินจะสะดวกที่สุด เหมาะกับคนชอบถ่ายภาพเก๋ๆ มาก ๆครับ ถ้าแบบมีเพื่อนถือกล้องสวย ๆ แบบอาร์ต ๆ ที่นี้กินขาดดดดด ได้อารมณ์ และความรู้สึกย้อนยุคเหมือนหลุดไปในสมัยเก่า ๆ หรือประมาณกรุงเทพในสามสิบกว่าปีก่อน อ่อที่นี้ช่วงบ่าย ๆ ร้านจะปิดนอนนะครับ ก็น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากการนอนกลางวันหรือที่เรียกว่า siesta จะรอซื้ออาหารช่วงบ่ายๆ นี้เดินวนไปมา เจอไม่กี่ร้านที่เปิด จริงๆ ร้านมีเยอะมาก ออกแนวให้นักท่องเที่ยวอาหารแฟวี่ พิซช่า แต่เอาจริงๆ มาเมืองแบบนี้ ขอกินอาหารแบบบ้าน ๆ ผสมไป แต่ทีมงานมักจะเลือกร้านที่ดูบ้าน ๆ หน่อย แบบ Local ที่ serve อาหารแบบทั่วไป จะได้ลองชิมแบบฝีมือคนท้องถิ่นดูนะครับมีเยอะอยู่ครับ
ลองแวะร้านนี้ดูนะครับ The Pulled Meat Company ที่นี้มีไส้กรอกอร่อย
Door Knockers
เดินไปรอบเมือง ๆ ก็จะเห็นของที่ระลึกสะดุดตาอย่าง Door Knobs ตอนแรกสะดุดตั้งแต่เมือง Silema พอเข้าที่ Valletta เห็นเกือบทุกบ้านจะมี ถือเป็นสัญลักษณ์เลยทีเดียว สมัยก่อนมีอยู่ว่าการจะเข้าบ้าน จะใช้เล็บเกาประตูบ้าน มีเสียงเกาแกร๊กๆ และก็วิวัฒนาการเปลี่ยนมาเป็นที่จับแบบนี้ซึ่งทำให้ง่ายขึ้น แต่จริง ๆ ประวัติศาสาต์มีที่มาที่ไปแฝงความหมาย รวมถึงการบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมถ้าใช้วัสดุดี เช่นถ้าแค่ใช้วงกลมเหล็ก ไม่มีลายอะไรก็บ่งบอกถึงสถานะธรรมดา ถ้าสะอาด เงาวิบวับตลอดก็สามารถบอกได้ว่าบ้านนั้นมีคนใช้คอยทำความสะอาดประตูหน้าบ้าน ความสะอาดภายในบ้านก็จะสูงไปด้วยเป็นต้น มีตัวอย่างให้ดูแบบ เงาวับ และแบบฝุ่นจับหนา จริงมองแล้วก็ขลังดีนะครับฮาๆๆๆ การใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์ก็หมายถึง ความแข็งแกร่ง อย่างสิงโต เป็นต้น หรือบ่งบอกความเชื่อทางศาสนา เช่น อย่าให้ใครใกล้ประตูบ้านใกล้เกินไป
Getting around
เดินรอบ ๆ เมือง วันเดียวก็ถ้าเดินไปพักไป ถ่ายรูปมุมสวย ๆ ไปวันเดียวครบเอาอยู่ครับ แวะทานน้ำส้ม ๆ คั่นสด สลัดนิดหน่อย ขนมหวานเบา ๆ เหนื่อยก็หยุด หิวก็แวะทาน ได้อยู่ครับ เพราะว่าด้วยความที่สถาปัตยกรรมตึกสูง ถ้าไปช่วงหน้าร้อน อาคารสูงจึงกลายเป็นที่หลบแดดได้เป็นอย่างดี สมมุตเดินอยู่สีท้องทะเลตัดกับตึก แต่แสงแดดเพียงพอในการถ่ายรูป ใครถ่ายรูปเก่ง ๆ นี้ได้ภาพสวย ๆ กลับมาแน่นอนครับ หรือจะจ้างแท๊กซี่นั่งรอบเมืองเอาก็ได้ครับ แท๊กซี่ของเท่นะครับ เดี่ยวดูที่รูป
แท๊กซี่เท่และชมวิวได้สบาย ๆ ใครขี้เกียจเดิน 555 แต่เดินดีกว่าครับ ได้สัมผัสความรู้สึกและกดชัตเตอร์เก็บภาพสวย ๆ
พิพิธภัณฑ์ของเล่น ป้ายวินเทจมาก
ขอแนะนำนั่งพักเบรค ทานสลัดแซนวิส น้ำส้ม เบา ๆ ที่นี้ครับ เพราะเดินข้างในลึกจะเจอร้านแนวสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ถ้าไม่ชอบอาหารแฟนซี่มา มาที่นี้เลย จุดนี้สวยเลย อาหารก็รสชาติอร่อยครับ
หาร้านที่แนว local ก็จะได้รสชาติแท้ๆ หน่อย นั่งฟิน ๆ ดูผู้คนเดินไปมา Enjoy watching people!!
จุดพักทานน้ำส้ม และสลัด นั่งง่าย ๆ แบบนี้ละครับ สังเกตถึงจะร้อนแต่ด้วอาคารสูงจึงหลบแดดได้สบาย ๆ
เป็นข้อมูลท่องเที่ยวแบบย่อ ๆ นะครับ หวังว่าผู้อ่านหากชื่นชอบฝากกดแชร์ด้วยนะครับ