LAIS ศูนย์วางแผนเรียนต่อต่างประเทศ ซัมเมอร์แคมป์ อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา เยอรมัน ทุกระดับชั้นเรียน

Header5

ให้ลูกเดินทางคนเดียวไปเรียน (Summer) เมืองนอกน่ากลัวจริงเหรอ?

วันนี้ทีมพี่สิงมาตอบข้อสงสัยหลายๆ ข้อให้กับผู้ปกครอง ในการพิจารณาเลือกรูปแบบไปเรียนซัมเมอร์ในต่างประเทศกันนะครับ ในเนื้อหานี้จะหมายถึงเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 16 ปี ในการเลือกโรงเรียนไปเรียนซัมเมอร์ในต่างประเทศ

 ช่วงเวลาในการเรียนซัมเมอร์ เราจะแบ่งเป็นสองช่วง ตามลักษณะของประเภทโรงเรียน

  •  โรงเรียนหลักสูตรแบบโรงเรียนไทย ซึ่งจะปิดรอบเดือน มีนาคม-พฤษคม และ อีกช่วงคือ ตุลาคม
  •  โรงเรียนหลักสูตรแบบโรงเรียนอินเตอร์ ซึ่งส่วนมากจะปิดแบบต่างประเทศคือรอบ กรกฎาคม-สิงหาคม

การแบ่งประเภทโรงเรียนขอแบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ดังนี้

Summer Group

ในกรณีที่เป็นนักเรียนในโรงเรียนหลักสูตรไทย ผู้ปกครองจะมักจะหาที่เรียนพิเศษ หรือไม่ก็จะให้นักเรียนเปิดประสบการณ์ไปเรียนภาษาในต่างประเทศกันในช่วงนี้มาก โดยเฉพาะช่วงเมษายน ซึ่งโดยปรกติก็จะไปเป็นแบบกลุ่มที่เราจะขอเรียกว่าแบบคลาสสิค คือมีคนไทยพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือตลอดทาง เป็นลักษณะไปเป็นกลุ่มนักเรียนไทยด้วยกันส่วนใหญ่ คือไปเรียนโรงเรียนภาษาและทำกิจกรรมช่วงบ่ายคือเที่ยวชมสถานที่สำคัญของประเทศนั้น ๆ หรือแม้กระทั่งโรงเรียนจะจัดกันไปเองเป็นต้น นักเรียนที่ไปจะในรุ่นใกล้เคียงกัน อาจจะมาจากหลากหลายสถานการศึกษาแล้วมารวมกันเป็นกลุ่ม ก็คล้าย ๆ เหมือนการไปแบบคณะทัวร์ มีพี่เลี้ยงให้การช่วยเหลือตั้งแต่เริ่มต้นทริป จนจบทริป ส่วนใหญ่จะมีเวลาประมาณ 4 สัปดาห์ ตารางการไปเที่ยวระบุชัด ผู้ปกครองก็สามารถเลือกประเทศได้ตามความสะดวก ราคาส่วนใหญ่บริษัทจะคิดเนทรวมทั้งหมดแล้ว ยกเว้นพวกค่าใช้จ่ายส่วนตัว Pocket Money ที่จะนำติดตัวไป

ส่วนใหญ่จะเป็นการพักแบบครอบครัว หรือที่เรียนกว่าโฮส โฮมสเตย์ พี่เลี้ยงจะคอยดู ไปรับไปส่งที่โรงเรียนระหว่างบ้าน ไปกลับ การทำกิจกรรมอยู่ในภายใต้การดูแลของพี่เลี้ยงคนไทย ประโยชน์ของการไปเป็นบบกลุ่ม ส่วนใหญ่พ่อแม่ผู้ปกครองจะรู้สึกอุ่นใจ มีคนไทยคอยช่วยเหลือประสานงานติดต่อ พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเดินทางไป สามารถติดต่อได้ตลอด

 

Independent / Boarding School

อีกแบบที่ทีมงานเดอะไลอ้อนมีความเห็นแบบส่วนตัวว่าได้ผลสูงสุดสำหรับนักเรียนที่ไปอย่างชัดได้ชัดก็คือ การส่งไปเรียนแบบเดี่ยว ๆ ในโรงเรียนมัธยมประจำ เนื่องจากนักเรียนไทยที่ปิดเทอมในช่วงเมษายน หากไปเรียนในต่างประเทศ ความได้เปรียบคือ หากโรงเรียนนั้น ๆ สามารถรับเข้าไปเรียนได้ ยังเป็นช่วงที่นักเรียนในต่างประเทศยังมีการเรียนการสอนอยู่ และหากโรงเรียนนั้นสามารถรับเข้าไปเรียนหรือที่เรียกว่า sit in ได้เข้าไปเรียนกับนักเรียนในห้องจริง ประโยชน์ที่จะได้รับคือ

  •  อันดับแรกยกให้ในเรื่องของความปลอดภัย ที่หากนักเรียนต่ำกว่า 16 ปี การเดินทางคนเดียวไปเรียนนักเรียนจำเป็นต้องเรียนอยู่ในสถานศึกษาที่สามารถรับเยาวชนเข้าไปเรียนได้ หมายถึงสถานที่เรียนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนประจำนั้นเอง นักเรียนจะได้กินอยู่ในโรงเรียน ดูแลโดยตรงจากโรงเรียน ตั้งแต่การเข้านอน เข้าห้องเรียน ทำกิจกรรมทั้งในและนอกสถานที่ คุณครูประจำชั้นจะต้องดูแลตลอด ทำให้หมดปัญหาเรื่องของการเดินทางไปเรียนระหว่างบ้าน ไปโรงเรียน ซึ่งในแบบแรกส่วนใหญ่จะเป็นการอยู่บ้านโฮส
  • การฝึกใช้ภาษา พูดถึงการใช้ภาษาแน่นอนว่าค่อนข้างได้เปรียบกว่ามาก เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ภาษาอยู่ตลอดในการสื่อสาร ไม่ว่าจะฟัง พูด อ่าน หรือเขียนนักเรียนจะได้ฝึกทักษะแบบนี้แบบเต็มรูปแบบ ผู้ปกครองหลายคนกังวลว่าแล้วลูกเราจะเข้ากับเพื่อน ๆ ในห้องได้หรือไม่ อันนี้ถือเป็นวิจารณาณของผู้ปกครอง โดยปรกตินักเรียนช่วงสัปดาห์แรก ๆ แน่นอนภาวะ Culture Shock เกิดขึ้นได้แน่นอน ซึ่งเป็นสภาวะธรรมชาติ หากไม่มีคงเป็นเรื่องแปลก ผู้ปกครองต้องเข้าใจว่าการส่งไปแบบนี้เพื่อเป็นการฝึกให้บุตรหลานได้ช่วยเหลือตัวเองสูงสุด ภายใต้การดูแลอย่างดี และปลอดภัย หากให้โรงเรียนดูแลแล้ว จงมั่นใจได้ว่าเค้าสามารถดูแลลูกของเราได้อย่างดี และมืออาชีพ ดังนั้นกลไกในการเรียนรู้นักเรียนจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ จากสัปดาห์แรกที่จะงอแงมากเป็นพิเศษ ก็ต้องฝึกใจแข็งให้เค้าเรียนรู้ อาการนี้จะค่อย ๆ ดี ขึ้นและเริ่มเข้าสัปดาห์ที่สองที่จะเริ่มเห็นภาพสภาพความเป็นอยู่ที่แตกต่า เริ่มเข้าใจ และสามที่จะเริ่มปรับตัวได้ดีมาก และส่วนใหญ่เมื่อผ่านได้จะเริ่มปรับตัวในทิศทางบวกแบบรวดเร็ว จะเห็นพัฒนาการของเด็กค่อย ๆ เกิดขึ้น เค้าได้เรียนรู้สังคมที่เป็นการใช้ภาษาอังกฤษอย่างแท้จริง เจอความไม่เข้าใจในภาษา ให้ผู้ปกครองมองโลกในแง่ดีว่า นั้นทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ความพยายามในการที่อยากจะสื่อสาร เห็นภาพได้ว่าเมื่อต้องการสื่อเรื่องนี้เค้าจะใช้ภาษาที่เรียนมาได้อย่างไร
  • การดูแลภายใต้กฎของโรงเรียนแบบอยู่ประจำ การดูแลที่เป็นหัวใจสำคัญอยู่ขั้นพื้นฐานอยู่แล้ว จะมีทั้งครูใหญ่ ครูประจำชั้น และครูที่คอยดูแลในบ้านหรือ boarding house ที่จะเป็นหูเป็นตาให้ตามหน้าที่ การเข้าช่วยเหลือหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินถือว่ารวดเร็วและถึงตัวนักเรียนได้อย่างดี เช่นหากนักเรียนเกิดการปรับตัวของอากาศไม่ได้ช่วงแรก พยาบาลในโรงเรียนสามารถเข้าวัดไข้ปรอทถึงตัวทันที่ ซึ่งการดูแลถือเป็นมาตราฐานที่สูงอยู่แล้ว
  • การเรียนการสอน นักเรียนจะได้เข้าห้องเรียน ตามอายุชั้นเรียน และเรียนวิชาปรกติที่นักเรียนเรียน ผู้ปกครองถามว่าจะเข้าใจมั้ย เราก็ต้องบอกตรง ๆ ว่า การไประยะสั้น เราคงไม่ได้คาดหวังว่าเด็กจำเป็นต้องรู้ทุกคำ ทุกประโยค ให้ย้อนกลับมาที่คำถามแรกว่าการไปเรียนแบบนี้เราต้องการอะไรมากสุด หากต้องการเข้าใจบทเรียนทั้งหมดร้อยเปอร์เซนต์ มันคงเป็นไปไม่ได้ เราไม่ได้ต้องการให้เด็กรู้ว่าวิชาทั้งหมดเรียนแล้วได้คะแนนสูงอย่างไร แต่เราอยากให้นักเรียนได้เห็นและพัฒนาศักยภาพตัวเองออกมา นั้นถือว่าเค้าได้ประสบการณ์ตรงสูงสุด นำไปปรับใช้กับตัวเองให้ได้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นนักเรียนที่ไปเรียนมาเข้าเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ในชีวิตที่เรียนที่เมืองไทยในห้องเรียนไม่เคยถูกสอนว่า การปกครองแบบเยอรมัน ในยุคนาซี ฮิตเลอร์คืออะไร วิชาภูมิศาสตร์ไม่เคยได้ยินว่ามหาสมุทรแอนตาร์กติกาอยู่ส่วนไหนของโลก แต่การไม่เข้าใจของเด็ก เกิดสภาวะที่ตามมาคือ เมื่อไม่รู้เรื่องก็รู้สึกอยากค้นคว้ามันคืออะไร เพียงเท่าที่ผู้ปกครองก็รู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่งดงามและมีค่ามาก ลูกอาจจะไม่จำเป็นต้องรู้ แต่เมื่อไม่รู้ลูกเกิดการค้นหามัน ทำให้รู้ว่ามันคืออะไร และนี้คือคำตอบที่อยากตอบคำถามที่ผู้ปกครองหลายคนกลัวว่าลูกเราจะไม่รู้เรื่อง เราจึงอยากบอกว่าการไม่รู้ไม่ใช้เรื่องที่เราต้องคาดหวังแต่ประโยชน์จากการไม่รู้เนี้ยผลมันส่งให้เค้ากลับมารู้ได้อย่างไร มันเกิดวิธีการในการเรียนนี้ ถือว่าเด็กได้ผลเชิง Self study เกิดขึ้นมากกว่าการถูกป้อนข้อมูลให้ง่าย ๆ แบบหลักการทั่วไป

 

แล้วลูกเราจะเดินทางได้อย่างไรคนเดียว?

หลักการนี้อยากถ่ายทอดเพื่อให้เป็นความรู้กับผู้ปกครองทั่วไปว่า นักเรียนที่เลือกเดินทางคนเดียว เราให้ความสำคัญเรื่องนี้สูงสุด การเดินทางนักเรียนต่ำกว่า 16 หากผู้ปกครองไม่ต้องการไปส่ง การดูแลจะต้องเกิดขึ้นตลอดการเดินทาง นั้นคือการทำบริการเสริมของสายการบินที่เรียกว่า UM service (Unaccompanied Minor) ก็คือการให้เจ้าหน้าที่สายการบินดูแลตั้งแต่ภาคพื้นคือเช็คอิน การพาเข้าเครื่องบิน ผ่านจุดตม รับสัมภาระ จนส่งส่งมอบให้เจ้าหน้าที่โรงเรียนที่มารับ ซึ่งบริการนี้จะต้องมีการประสานงานกับสายการบิน ส่งรายละเอียดเจ้าหน้าที่คนไปรับไปส่ง เจ้าหน้าที่จะมีเอกสารคนมารับ และส่งมอบพร้อมเซ็นอย่างถูกต้อง พูดง่าย ๆ คือส่งมอบมือถือมือนั้นเอง ซึ่งการไปถึงโรงเรียนเราจะได้รับรายงานตลอดเส้นทางในการรับส่งนักเรียนโดยโรงเรียนจะทำหน้าที่นี้อย่างดี และรายงานผู้ปกครองหรือตัวแทนว่านักเรียนถึงปลอดภัย หลักการในการเดินทางเยาวชนก็จะเป็นในรูปแบบนี้เป็นสแตนดาร์ดสากล

ประเมิณผลจากการเรียนนักเรียนส่วนใหญ่ที่ไปแบบนี้ได้อย่างไร?

ผลการเรียนภาษาอังกฤษอยู่ในระดับดีขึ้น อย่างน้อยก็สามารถปรับทัศนคติในการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดีมาก นักเรียนที่กลับไปส่วนใหญ่ไม่กลัวการใช้ภาษาอังกฤษอีก จากที่ไม่ชอบก็เข้าใจมันได้มากขึ้น เพราะว่าเข้าได้เห็นได้ใช้และค้นคว้าเอง แค่ในเรื่องของทัศนคติก็ถือว่าเป็นสิ่งคุ้มค่ามากแล้ว ปรกติโรงเรียนก็จะส่งผล School Report กลับมาให้พร้อมคอมเมนท์ในการเรียนแต่ละวิชาเป็นอย่างไร ซึ่งผู้ปกครองก็จะเห็นพัฒนาการและเข้าใจได้อย่างดีว่าแต่ละวิชาบุตรหลานทำได้มากน้อยแค่ไหนนั้นเอง

แล้วแบบการเรียนแบบไหนเหมาะกับลูกเรา?

อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้ปกครองว่าพร้อมใจในเรื่องไหนมากกว่ากัน มุมมองว่าอยากได้อะไรจากการส่งลูกไปเรียน หากความพร้อมจริง ๆ แล้วส่วนใหญ่จะเกิดที่ผู้ปกครอง นักเรียนเองอาจจะไม่เท่าไหร่ ส่วนใหญ่ที่พบเจอจะเกิดจากความกังวลความห่วง ซึ่งถือเป็นเรื่องปรกติและไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ผู้ปกครองบางคนตกใจว่า แล้วลูกจะเดินทางคนเดียวได้อย่างไร ทุกวันนี้ยังไม่รับไปส่งลูกอยู่เลย ก็ทางเลือกแบบคลาสสิคก็ยังเป็นทางเลือกได้อยู่ หรือหากจะไปส่งด้วยตัวเองก็ถือว่าเป็นตัวเลือกเช่นกัน บางคนก็รอรับกลับถือโอกาสไปเที่ยวในตัว แต่ส่วนใหญ่เราจะแนะนำว่าเมื่อให้ไปแล้ว ควรปล่อยให้เด็กได้รับการดูแลจากโรงเรียนโดยตรง ใช้ประสบการณ์ที่อายุช่วงหนึ่งที่เค้าจะพึ่งมีได้ เกิดการเรียนรู้แบบเต็มรูปแบบ

แล้วควรส่งลูกไปตอนไหน?

ธรรมชาติตามศาสตร์ยิ่งเล็กยิ่งดี ยิ่งได้ประโยชน์ The earlier you start, the faster you benefit from studying. เด็กนักเรียนยิ่งอายุน้อยการเรียนรู้เป็นเรื่องปรกติที่ได้มากตามลำดับ

สำหรับการเรียนในรอบกรกฎาคม เป็นรอบนักเรียนนานาชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะปิดพร้อมนักเรียนต่างชาติด้วยเช่นกัน ส่วนใหญ่นักเรียนกลุ่มนี้จะเลือกไปซัมเมอร์เพราะการเพิ่มประสบการณ์ การเรียนรู้ชีวิตเนื่องจากการใช้ภาษาก็จะอยู่ในระดับที่ได้ในระดับหนึ่ง จุดประสงค์ที่ผุ้ปกครองให้ไปช่วงนี้ ส่วนใหญ่จะไม่ได้เน้นด้านการใช้ภาษา แต่ส่วนมากจะเพิ่มการเรียนรู้ทักษะอื่นเพิ่มเติม เช่นการเอาตัวรอด การอยู่กับเพื่อน ๆ จากรอบโลก เรียนรู้การช่วยเหลือตัวเอง หรือพัฒนาด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม เป็นต้น

การจะเลือกวิธีการไปเรียนแบบไหนผู้ปกครองตัดสินใจจากความพร้อมของผู้ปกครอง พิจารณาตามความเหมาะสมตามที่แต่ละครอบครัวเปรียบเทียบเชิงคุณภาพว่าจุดประสงค์เราต้องการผลลัพธ์ไปในทิศทางไหน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ปกครองนะครับ จากประสบการ์ณยิ่งเล็กเรายิ่งเห็นการพัฒนาแบบชัดเจน อย่างว่านะครับ เด็ก ๆ มีการปรับตัวในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆได้รวดเร็วตามธรรมชาติอยู่แล้ว

KNOWLEDGE STATION